เมนู

กรรมที่เราได้ทำไว้ในกัปที่แสน ได้
แสดงแก่ผลแก่เราแล้วในอัตภาพนี้ เราหลุดพ้น
จากกิเลส เหมือนลูกศรพ้นจากแล่งฉะนั้น กิเลส
ทั้งหลายเราเผาเสียแล้ว
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ทั้งหลายพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระวังคีสเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบวังคีสเถราปทาน


544. อรรถกถาวังคีสเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 4 ดังต่อไปนี้:-
อปทานของท่านพระวังคีสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม
ชิโน
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระพุทธเจ้าพระ-
องค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพ
นั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิด
ในตระกูลที่มีโภคะมากมาย ในหังสวดีนคร เจริญวัยแล้วได้ไปยังพระวิหาร
พร้อมกับชาวพระนคร ผู้กำลังเดินไปเพื่อฟังธรรม ขณะ กำลังฟังธรรม ได้
เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวก
ภิกษุผู้มีปฏิภาณแล้ว ได้บำเพ็ญกรรมที่ดียิ่งแด่พระศาสดาแล้ว ตั้งความ

ปรารถนาไว้ว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีปฏิภาณ
บ้าง ดังนี้ ได้รับการพยากรณ์จากพระศาสดาแล้ว ก็บำเพ็ญแต่กุศลกรรมจน
ตลอดชีวิต แล้ว ได้เสวยสมบัติทั้งสองในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ เขาได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี เพราะมี
ปริพาชิกาเป็นมารดา ในกาลย่อมา จึงได้ปรากฏว่า ปริพพาชก และ
มีชื่อว่า วังคีสะ เล่าเรียนไตรเพทแล้ว เพราะไตรเพทนั้นจึงทำอาจารย์ให้
ยินดี ได้ศึกษามนต์ชนิดที่สามารถจะรู้ได้ด้วยหัวกระโหลก เอาเล็บดีดหัว
กระโหลกแล้ว ย่อมรู้ว่า สัตว์ผู้นี้ได้บังเกิดในกำเนิดโน้น.
พวกพราหมณ์ พากันคิดว่า อาชีพนี้ เป็นทางเครื่องเลี้ยงชีวิตของ
พวกเรา จึงพาวังคีสะนั้นท่องเที่ยวไปในหมู่บ้าน ตำบลและตัวเมือง. วังคีสะ
ประกาศให้ผู้คนนำเอาศีรษะ เฉพาะของพวกคนผู้ตายไปแล้ว ภายในขอบเขต
3 ปีมาแล้ว เอาเล็บคิดแล้วกล่าวว่า สัตว์ผู้นี้ บังเกิดแล้วในกำเนิดโน้น
ดังนี้แล้ว ให้ชนเหล่านั้นนำเอามาเพื่อกำจัดตัดความสงสัยของมหาชนเสียแล้ว
ก็ให้หัวกระโหลกบอกถึงคติของตนของตน. ด้วยเหตุนั้น มหาชนจึงเลื่อมใส
อย่างยิ่งในตัวเขา. เขาอาศัยมนต์อันนั้น ย่อมได้เงิน 100 กหาปณะบ้าง
1,000 กหาปณะบ้าง จากมือของมหาชน พวกพราหมณ์ อาศัยวังคีสะพา
กันเที่ยวไปแล้วตามความสบายใจ. วังคีสะได้สดับพระคุณทั้งหลายของพระ-
ศาสดาแล้ว ได้มีความประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พวกพราหมณ์ พา
กันห้ามว่า พระสมณโคดมจักเอามายาเข้ากลับใจท่านเสีย.
วังคีสะ ไม่เชื่อคำของพราหมณ์เหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
กระทำการปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามเขาว่า
วังคีสะ เธอรู้ศิลปะอะไรบ้าง. วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

ใช่แล้ว ข้าพระองค์ รู้มนต์อย่างอนึ่งชื่อว่า มนต์สำหรับดีดหัวกระโหลก โดย
การที่ข้าพระองค์ เอาเล็บดีดศีรษะแม้ของคนที่ตายแล้ว ภายในระยะเวลา 3 ปี
ก็จะรู้ถึงที่ที่เขาไปบังเกิดแล้วได้. ลำดับนั้น พระศาสดารับสั่งให้ภิกษุนำเอา
ศีรษะของผู้ที่บังเกิดในนรก 1 ศีรษะ ศีรษะของคนที่บังเกิดในหมู่มนุษย์
1 ศีรษะ ศีรษะของผู้บังเกิดในหมู่เทวดา 1 ศีรษะ ศีรษะของผู้ปรินิพพาน
แล้ว 1 ศีรษะ ให้แสดงแก่วังคีสะนั้น. เขาดีดศีรษะที่ 1 แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์ผู้นี้ไปบังเกิดในนรก. พระศาสดาตรัสว่า ดีละ
วังคีสะ เธอเห็นแล้วด้วยดี แล้วตรัสถามอีกว่า สัตว์ผู้นี้ ไปบังเกิดทีไหน ?
วังคีสะ กราบทูลว่า ในมนุษยโลกพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามอีกว่า
สัตว์ผู้นี้ ไปบังเกิดที่ไหน วังคีสะกราบทูลว่า ในเทวโลกพระเจ้าข้า. วังคีสะ
ได้กราบทูลที่บังเกิดของสัตว์ทั้ง 3 ได้อย่างถูกต้อง. แต่เมื่อเอาเล็บดีดศีรษะ
ของผู้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เห็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย. ลำดับนั้น พระศาสดา
จึงตรัสถามเขาว่า วังคีสะไม่สามารถหรือ วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
โคดมผู้เจริญ พระองค์คอยดูนะ ขอให้ข้าพระองค์พิจารณาดูก่อน ดังนี้แล้ว
แม้จะพยายามร่ายมนต์กับไปกลับมา ก็ไม่สามารถจะรู้ศีรษะของพระขีณาสพ
ด้วยมนต์ภายนอก. ลำดับนั้น เหงื่อได้ไหลออกจากศีรษะของเขาแล้ว. เขา
ละอายใจได้แต่นิ่งเงียบไป. ลำดับนั้น พระศาสดา จึงได้ตรัสกะเขาว่า ลำบาก
ใจนักหรือ วังคีสะ. วังคีสะ กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใช่แล้ว
ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะรู้ถึงที่บังเกิดของศีรษะนี้ได้ ถ้าพระองค์ทรงทราบ
ขอจงตรัสบอก. พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เรารู้ถึงศีรษะนี้ได้อย่างดี เรารู้
ยิ่งกว่านี้ ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถา 2 คาถานี้ว่า.
ผู้ใดรู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ทั้งปวงสัตว์
ได้ทั้งหมด เรากล่าวผู้นั้น ซึ่งไม่ขัดข้อง ไปดี

แล้ว รู้แล้วว่า เป็นพราหมณ์. เทวดา คนธรรพ์
และหมู่มนุษย์ ไม่รู้ทางไปของผู้ใด เรากล่าว
ผู้นั้น ผู้สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็น
พราหมณ์ ดังนี้.

วังคีสะนั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นขอพระ-
องค์ จงประทานวิชานั้นให้แก่ข้าพระองค์เถิด แล้ว แสดงความเคารพนั่งเฝ้า
พระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า เราจะให้แก่คนที่มีเพศเสมอกับเรา.
วังคีสะคิดว่า เราควรทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเรียนมนต์นี้ให้ได้ จึง
เข้าไปหาพวกพราหมณ์พูดว่า เมื่อเราออกบวชพวกท่านก็อย่าคิดอะไรเลย
เราเรียนมนต์แล้ว จักได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้พวกท่านก็
จักมีชื่อเสียงไปกับเรานั้นด้วย. วังคีสะนั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ทูลขอ
บวชเพื่อต้องการมนต์. ก็ในเวลานั้นพระนิโครธกัปปเถระ อยู่ในสำนักของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสั่งเธอว่า นิโครธกัปปะ
เธอจงบวชวังคีสะผู้นี้ด้วยเถิด ดังนี้แล้ว ทรงบอก (สมถะ) กัมมัฏฐานคือ
อาการ 32 และวิปัสสนากัมมัฏฐานให้แล้ว. พระวังคีสะนั้น เมื่อกำลังสาธยาย
กัมมัฏฐานคืออาการ 32 อยู่ ก็เริ่มบำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว. พวก
พราหมณ์เข้าไปหาวังคีสะนั้นแล้ว ถามว่า วังคีสะผู้เจริญ ท่านเล่าเรียนศิลปะ
ในสำนักของพระสมณโคดมจบแล้วหรือ. พระวังคีสะตอบว่า ใช่ เราเล่า
เรียนจบแล้ว. พวกพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงมา พวกเราจักไป
กัน ประโยชน์อะไรด้วยการศึกษาศิลปะ. พระวังคีสะ ตอบว่า พวกท่านจง
ไปกันเถิด เราไม่มีกิจที่จะพึงทำร่วมกับพวกท่าน. พวกพราหมณ์ กล่าวว่า
บัดนี้ ท่านตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระสมณโคดม พระสมณโคดมใช้มายา

กลับใจท่านเสียแล้ว พวกเราจักทำอะไรในสำนักของท่านได้ ดังนี้แล้ว จึง
หลีกไปตามหนทางที่มาแล้วนั่นเอง. พระวังคีสะเจริญวิปัสสนาแล้วกระทำให้
แจ้งพระอรหัต.
พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น ก็ระลึกถึงบุรพกรรมของตน
เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วใน
กาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. ข้าพเจ้าจัก
พรรณาเฉพาะบทที่มีเนื้อความยากเท่านั้น. บทว่า ปภาหิ อนุรญฺชนฺโต
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระพระองค์นั้น ทรงเปล่งปลั่ง
รุ่งเรือง สวยงาม โชติช่วงด้วยพระรัศมี มีแสงสว่างด้วยฉัพพรรณรังสี มี
สีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น. บทว่า เวเนยฺยปทุมานิ โส ความว่า พระอาทิตย์
คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ. ทรงยังดอกปทุมคือเวไนยชนให้ตื่น ให้
เบิกบานโดยพิเศษ ด้วยรัศมีแห่งพระอาทิตย์ กล่าวคือพระดำรัสของพระองค์
ได้แก่ ทรงกระทำให้ผลิผลได้ ด้วยการบรรลุอรหัตมรรคแล. บทว่า
เวสารชฺเชหิ สมฺปนฺโน ความว่า สมบูรณ์ พรั่งพร้อมคือประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยจตุเวสารัชชญาณ สมตามที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า:-
พระพุทธเจ้า ทรงแกล้วกล้าเป็นอย่างดี
ในฐาน 4 เหล่านี้คือ ในเมื่อมีอันตราย ในธรรม
เครื่องนำออกจาวัฏฏะ ในความเป็นพระพุทธเจ้า
และในการทำอาสวะให้สิ้นไป
ห ดังนี้.
บทว่า วาคีโส วาทิสูทโน ความว่า เป็นใหญ่คือเป็นประธานของพวก
นักปราชญ์ คือ พวกบัณฑิต. พึงทราบว่า ควรจะกล่าวว่า วาทีโส แต่กล่าวไว้
อย่างนั้น เพราะทำ ท อักษรให้เป็น ค อักษร. ชื่อว่า วาทิสูทนะ เพราะทำ

อรรถะของตนให้เป็นอรรถะอื่น คือ ให้ไหลออก ได้แก่ ทำให้ชัดเจน
บทว่า มารมสนา มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่า มารมสนะ เพราะถูกต้อง ลูบคลำ
ทำลายมาร 5 มีขันธมารเป็นต้นได้. บทว่า ทิฏฺฐสูทนา มีวิเคราะห์ว่า
ชื่อว่า ทิฏฐิสูทนะ เพราะความเห็นตามทิฏฐิคือจริงตามที่โลกกล่าว ย่อม
หลั่งไหลออก คือแสดงถึงความไหลออก. บทว่า วิสฺสามภูมิ สนฺตานํ
ความว่า ภูมิเป็นที่พัก ที่เป็นที่หยุดอยู่ ได้แก่เป็นที่เข้าไปสงบของสัตว์ผู้
ต้องสืบต่อ ผู้ลำบากอยู่ในสงสารสาครทั้งสิ้น ด้วยการบรรลุมรรคมีโสดาปัตติ-
มรรคเป็นต้น. บทว่า ตโตหํ วิหตารมฺโก ความว่า เพราะได้เห็นพระสรีระ
ของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น เราฆ่าความหัวดื้อ ทำความแข่งดีให้
พินาศไป กำจัดมานะเสียไม่มัวเมาแล้ว จึงอ้อนวอนขอการบวชแล้ว. คำที่
เหลือมีเนื้อความพอจะรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาวังคีสเถราทาน

นันทกเถราปทานที่ 5 (545)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระนันทกเถระ



[135] ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระ-
พิชิตมารพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรม
ทั้งปวง เป็นพระผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระ-
องค์ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย เป็นบุรุษ
อาชาไนย ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูล เพื่อประโยชน์
เพื่อสุขแก่สรรพสัตว์ ในโลกพร้อมด้วยเทวโลก.